ความรัก 6 ประเภท

ความรัก

วันนี้มีรูปแบบของความรักมาฝากให้คิดกันค่ะว่า . . . ความรักของคุณในตอนนี้เป็นแบบไหนกันบ้าง

1. ความรักแบบเสน่หา (Eros)

ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แม้จะไม่มากพอที่จะทำลายตนเอง หรือรู้สึกถูกใจอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น คล้ายรักแรกพบ ความดึงดูดใจซึ่งกันและกัน การแสดงออกมาทั้งคำพูดและการแสดงความใกล้ชิด อยากเจอกันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ วาดฝันเกี่ยวกับอีกฝ่ายไว้งดงาม และไม่ได้คาดการณ์ถึงอุปสรรคใดๆ คู่รักประเภทนี้พยายามพัฒนาสัมพันธภาพกับคู่ของตนอย่างรวดเร็ว โดยการเปิดเผย ซื่อสัตย์ และจริงใจ ใส่ใจคู่รักมากเป็นพิเศษ แต่ไม่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือกลัวว่าจะมีคู่แข่ง

.

2. ความรักแบบไม่ผูกมัด (Ludus)

ความรักเป็นเกมชนิดหนึ่ง เพื่อความบันเทิงของทั้งสองฝ่าย หลีกเลี่ยงการผูกมัด สามารถผลัดเปลี่ยนคู่ไปได้เรื่อยๆ พยายามที่จะไม่สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับใคร เพื่อรักษาความเป็นอิสระของตน ถึงแม้จะไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่การโกหกและความไม่จริงใจถือว่าเป็นการเล่นตามกติกาที่มี ความรักแบบนี้จะไม่หึงหวง หรือแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และอาจเห็นชอบให้คู่ของตนมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ทั้งนี้เพื่อสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ของตน

.

3. ความรักแบบมิตรภาพ (Storge)

ความรักพัฒนามาจากมิตรภาพ เป็นความรู้สึกรักใคร่อันเนื่องมาจากการคบหากันมาเป็นเวลานาน ไม่ได้มีความ รู้สึกตื่นเต้น เร่าร้อน แต่เน้นการกระทำที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกันและมีกิจกรรมร่วมกัน ความรักเป็นสิ่งที่มั่นคง ที่ผนวกเข้าไปกับการดำรงชีวิตตามปกติ

.

4. ความรักแบบลุ่มหลง (Mania)

ผู้ที่มีความรักแบบนี้จะใฝ่หาความรัก แต่เชื่อว่าความรักเป็นความเจ็บปวด ปรารถนาความใกล้ชิดและต้องการความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ต้องการให้คู่รักของตนแสดงความรักมากกว่าปกติ เมื่อใดที่คู่รักไม่ได้แสดงความใส่ใจ หรือไม่แสดงความรักตามที่ปรารถนา อาจจะทำร้ายตนเอง เพื่อเอาชนะความรัก คู่รักประเภทนี้เชื่อว่า เมื่อปราศจากความรักจากอีกฝ่าย ชีวิตก็ไม่มีคุณค่าอีกต่อไป

.

5. ความรักแบบมีเหตุผล (Pragma)

เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ผู้ที่มีความรักแบบนี้จะแสวงหาคู่ที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด เชื่อว่าความสัมพันธ์จะราบรื่นก็ต่อเมื่อคู่รักสามารถตอบสนองความต้องการ พื้นฐานของกันและกัน ได้แสวงหาคนที่มีลักษณะคล้ายตนหรือต่างจากตน แต่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด การเลือกคู่จะมีลักษณะคล้ายรักเผื่อเลือก ทั้งนี้ก็เพราะคาดหวังสัมพันธภาพที่ยั่งยืน

.

6. ความรักแบบเสียสละ (Agape)

เป็นความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ต้องการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ มีความห่วงใย และคำนึงถึงความสุขของคู่รักเป็นสำคัญ โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของตนเอง “การให้” เป็นปัจจัยสำคัญของความรักแบบนี้ นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาพบว่า ในชีวิตจริงคู่สมรสจะมีรูปแบบความรักที่คล้ายคลึงกัน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคู่ที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกับคู่ที่เลิกราไป พบว่าประเภทแรกจะมีความรักแบบเสน่หาสูงกว่า และมีความรักแบบไม่ผูกมัดต่ำกว่าประเภทหลัง รูปแบบของความรักอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และลักษณะของบุคคลที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย

Credits: http://horoscope.yenta4.com/horoscope-lover/2983.html

——————————————————————————————————

แถมๆ อยากแถม =w=; ไม่แน่ใจว่าเคยดูไปรึยัง ลองอ่านดูละกัน อ่านเพิ่มเติมคลิกที่ link ใต้คำทำนาย

รู้ ธาตุออฟฟิศ พิชิตปัญหา

ออฟฟิศ  เรื่องดวงชะตาราศีมีหรือคะที่สาว ๆ เราจะไม่ชอบ ดูดวงให้ตัวเองกันมาเยอะแล้ว คราวนี้ลองมาดูดวงออฟฟิศกันบ้างไหมคะ วิธีการก็ไม่ยากเลยค่ะ แค่ลองสำรวจว่าเพื่อนร่วมงานมีราศีอะไรกันบ้าง เพราะบรรยากาศของที่ทำงานก็ได้รับอิทธิพลจากบุคลิกลักษณะตามราศีของผู้ทำงาน นี่เอง             จากราศีทั้ง 12 นี้ เราจะสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มธาตุหลักๆ นั่นคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ WP มีไกด์มาให้คุณลองดูกันซิว่าเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่อยู่ในธาตุไหน นั่นละค่ะคือธาตุของออฟฟิศ ซึ่งจะช่วยทำนายได้ถึงจุดเด่นที่เป็นโอกาสอันดี และจุดด้อยที่คอยจะเป็นปัญหา จับจุดได้อย่างนี้ก็รับรองว่าทำงานง่ายสบายบรื๋อแน่ค่ะ

ออฟฟิศธาตุน้ำ
ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ : ราศีมีน (20 ก.พ.-20 มี.ค.), ราศีกรกฎ (23 มิ.ย.-23 ก.ค.) และราศีพิจิก (24 ต.ค.-22 พ.ย.)
ลักษณะเด่นของที่ทำงาน : อ่อนไหว ใช้อารมณ์เยอะ มีระบบอุปถัมภ์ค้ำชู
ข้อดี : เพื่อนร่วมงานมีน้ำใจและเข้าอกเข้าใจกันดี การที่แสดงอารมณ์ได้มากบางครั้งก็เป็นข้อดีที่ทำให้ความคิดสร้างสรรค์พุ่ง กระฉูด เกิดไอเดียแปลกใหม่
ข้อเสีย : ที่น่าเป็นห่วงคืองานจะไม่เป็นงาน เพราะมัวแต่กลัวทำร้ายจิตใจกันบ้างละ กลัวจะต้องโกรธเคืองกันบ้างละ พอมีข้อบกพร่องต้องแก้ไขก็ไม่กล้าพูดจากันตรงๆ คุณรู้ไหมว่ามัวแต่เกรงใจกันอย่างนี้เมื่อปัญหาบานปลายจะยิ่งเป็นการทำร้าย เพื่อนร่วมงานเสียมากกว่า นอกจากนี้ออฟฟิศแบบนี้ยังมักจะมีปัญหาถ้าเกิดมีคนตรงไปตรงมาหลุดเข้ามาทำงาน ร่วมด้วย ก็มักจะถูกรุมเกลียดซะงั้น เพราะคนเหล่นี้จะมองว่าทำร้ายคนอื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องงานก็ตามทีจึงต้องละมุนละม่อมกับเขาหน่อย

ออฟฟิศธาตุลม
ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ : ราศีกุมภ์ (20 ม.ค.-19 ก.พ.), ราศีเมถุน (22 พ.ค.-22 มิ.ย.) และราศีตุล (24 ก.ย.-23 ต.ค.)
ลักษณะเด่นของที่ทำงาน : ทรงภูมิ มีความคิด ชอบตั้งคำถามต่อสิ่งต่าง ๆ
ข้อดี : เป็นการรวมตัวกันของนักคิด ฉลาด มีหลักการ พร้อมที่จะประชุมสุมหัวกันจนได้ไอเดียเจ๋ง ๆ และชอบคิดหาทางออกหรือวิธีทำงานใหม่ ๆ เพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้น
ข้อเสีย : คล้ายๆ กับนักการเมืองที่ถึงจะช่างคิด แต่ไม่มีใครอยากลงมือทำสักเท่าไหร่ ดีไม่ดีก็แค่รู้มา แต่เอาเข้าจริงทำไม่เป็นหรอก! ทำให้ผลงานไม่ค่อยเสร็จสิ้นออกมาตามราคาคุยและตามเวลา ความที่ชอบอวดรู้ก็เลยเอาแต่ถกเถียงปัญหากันอยู่นั่น แต่ไม่ได้คำตอบหรือตัดสินใจไม่ได้เลยสักอย่าง ออฟฟิศเช่นนี้ ยังไม่ค่อยจะใส่ใจความรู้สึกกันสักเท่าไหร่ ก็ต้องแยกแยะกันให้ได้ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว

ออฟฟิศธาตุไฟ
ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ : ราศีเมษ (21 มี.ค.-20 เม.ย.), ราศีสิงห์ (24 ก.ค.-23 ส.ค.) และราศีธนู (23 พ.ย.-22 ธ.ค.)
ลักษณะเด่นของที่ทำงาน : กระตือรือร้น มุ่งมั่น สร้างสรรค์
ข้อดี : ทุกคนสนุกกับการทำงานกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ชอบผจญกับอุปสรรคที่ท้าทายมากกว่าทำงานง่าย ๆ ซ้ำซาก ชอบทำงานสำคัญชิ้นใหญ่ ทำงานเป็นทีมเวิร์กได้ดี เพราะใจกว้างและจริงใจ
ข้อเสีย : ความที่กระตือรือร้นจัด ชอบคิดล่วงหน้า บางครั้งก็ทำให้กลัวเกินกว่าเหตุ จนทำเอาปัญหาจิ๊บจ๊อยก็กลายเป็นวิกฤติการณ์ใหญ่โตไปได้ บรรยากาศการทำงานสุดเหวี่ยงทุ่มสุดตัว บางครั้งก็ทำให้ล้าจนหมดไฟเอากลางคันทั้งที่งานยังไม่เสร็จ บางครั้งก็ไอเดียฟุ่งจัดจนทำให้งานขุ่ย ขาดความละเอียดถี่ถ้วน และคนออฟฟิศนี้จะเบื่อขึ้นมาทันทีถ้าต้องทำงานซ้ำซากจำเจหรือไม่อยู่ในความ สนใจ อย่างนี้ต้องระวังให้ดีว่างานจะไม่เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาเอานะคะ

ออฟฟิศธาตุดิน
ราศีของผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ : ราศีมังกร (23 ธ.ค.-19 ม.ค.) ราศีพฤษภ (21 เม.ย.-21 พ.ค.) และราศีกันย์ (24 ส.ค.-23 ก.ย.)
ลักษณะเด่นของที่ทำงาน : การจัดการดีเยี่ยม เป็นระบบชอบลงมือทำ เชื่อใจได้

Credits: http://horoscope.yenta4.com/horoscope-hot/3278.html

—————————————————————————————————-

12 ราศีกับสิ่งนำโชค

ราศีธนู
23 พฤศจิกา – 22 ธันวา
ดาว ที่คอยปกปักระกษาราศีของคุณอยู่คือ ดาวพฤหัส โดยมีจูปิเตอร์เป็นเทพคอยพิทักษ์อยู่ เทพจูปิเตอร์เป็นเทพแห่งความรอบรู้และพรสวรรค์ทั้งมวล คุณจึงได้รับอิทธิพลให้เป็นคนรักอิสระ ทำอะไรตามใจชอบและมีความสามารถรอบตัวทีเดียว
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีม่วง แดง และส้ม แตงกวา จะเป็นอาหารที่ช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
เลข 1 อักษร J , S กุ้งชุบแป้งทอด สวนสาธารณะขนาดใหญ่ แว่นกันแดด เสื้อไหมพรมมอร์แฮร์

Credits: http://webboard.yenta4.com/topic/399555

ว่าด้วยเรื่อง “การฝึกงาน” (Part 1)

ว่าด้วยเรื่อง “การฝึกงาน” (Part 1)

ไม่ได้อัพซะนานจนเห็ดขึ้นแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆๆ บอกว่าจะมาอัพเดทชีวิตตัวเอง ก็ไม่ได้ทำ (น่าสมเพชยิ่งนัก =w=;) เอาเป็นว่าอย่ารอช้า มาฟังข้าพเจ้าเล่า(บ่น)สัพเพเหระชีวิตตัวเองกันเลยดีกว่า…

คงมีนักศึกษาหลายๆ คน ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกงาน เพราะถ้าท่านต้องไปฝึกงานเมื่อไหร่ละก็ นั่นหมายความว่า ชีวิตในวัยเด็กของท่านกำลังจะสิ้นอายุขัยแล้ว…

ทุกคนพอรู้ว่าจะต้องฝึกงานก็เริ่มที่จะคิดวาดฝันไปกับที่ทำงานหลายๆ แบบ … บางคนก็ไม่อยากจะไปฝึก … บางคนก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปฝึกงาน …นานาจิตตัง… เอาเป็นว่า จะคิดอะไรยังไง สุดท้ายทุกคนจบออกไปไม่ว่าจะใช้เวลากี่ปีก็ตาม สุดท้่ายก็ต้องทำงาน…

เริ่มจากหาที่ฝึกงานก่อน บางคนก็ได้มหาลัยหาให้เลย แต่มหาลัยเรากลับปล่อยให้นักศึกษาไปผจญโลกกว้างหางานเองกันเลย ฮ่าๆ …. ก็เริ่มจากรวบรวมผลงานที่เคยทำกันมา (ใครไม่ค่อยมีนี่ คงคิดหนักหน่อย แต่ถ้ายังอีกนานที่จะฝึก ก็ขอแนะนำให้รีบทำผลงานให้เยอะๆ เข้าไว้ ถ้าอยากไปฝึกบริษัทดังๆ นะ เค้าดูจากปริมาณผลงาน กับคุณภาพเป็นอันดับต้นๆ จ๊ะ) แล้วก็นำมาทำเป็น Portfolio … ตรงนี้ก็จะมีคำถามผุดขึ้นมาอีกหลายสิบคำถามเลยว่า จะทำพอร์ตรูปแบบไหนดี บางคนก็ทำเป็น Showreel (ส่วนใหญ่พวกผลงาน 3D จะทำกัน) (showreel = คลิปที่รวมผลงานให้ดูคร่าวๆ เลือกเฉพาะผลงานที่ดีที่สุดมา ประโยชน์คือ: ง่ายต่อการเปิดดู แต่ถ้าผลงานมีน้อยและไม่เจ๋งจริง การทำแบบนี้ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จหรอก) … บางคนก็ทำเป็นผลิตภัณฑ์พอร์ตเลย แบบดีไซน์อะไรเสร็จ อันนี้ก็เจ๋งนะ ถ้าเอาไปใช้สมัครงานจริงๆ แต่มันก็สิ้นเปลือง และเวิ่นเว้อ เพราะบางที่เค้ายึดไปเลยล่ะ = =; ต่อให้รับเราหรือไม่ก็ตาม… แต่ที่จะแนะนำให้ทำง่ายๆ ก็คือ รวมผลงาน แยกใส่เป็นโฟลเดอร์ให้ชัดเจนไป ตามประเภทของผลงาน หรือปีที่ทำ เวลาเค้าเปิดดู จะได้เข้าถึงง่าย หรือจะทำแฟลชไปก็ได้ แต่ต้องแปลงให้เป็น exe นะ ไม่งั้นจะมีปัญหาตอนเปิดอีก ทำปกใส่กล่องซีดีหรือดีวีดีด้วย จะได้ดูหรูหราหน่อย ซึ่งต้นทุนตำกว่าจะไปดีไซน์แพ็คเกจเอง… พอทำเสร็จ ก็ต้องเอาไปยื่นที่บริษัท แนะนำให้ไปยื่นด้วยตัวเองถึงที่ แต่งตัวสุภาพและดูดีที่สุดในชีวิต ใส่ซองเอกสารอะไรให้หพร้อมยื่น บางที่ก็ได้สัมภาษณ์สดเลย บางที่ก็รอเรียกมาสัมภาษณ์ทีหลัง ก็แล้วแต่ไป …

การสัมภาษณ์ แต่งตัวให้ดีที่สุดเช่นเดิม เรียบร้อยสุภาพ … พอไปถึงก็สวัสดียกมือไหว้พี่ๆ ทุกคน … ไม่ต้องเกร็งมาก เอาให้เป็นตัวเองมากที่สุด ถือซะว่าคนสัมภาษณ์ก็คน ไอเราก็คน (ถ้าคิดว่าเป็นเพื่อนกันได้เลยยิ่งดี ฮาๆ จะได้ไม่เกร็ง) เวลาเค้าถามอะไร ก็ตอบตามจริงไปเลย ไม่จำเป็นต้องตอบเสแสร้งให้ดูดีหรอก เพราะเชื่อมั้ยว่า พี่เค้าดูออก! เพราะงั้นก็จงเป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่เถิดหนา … ส่วนคำถามที่เค้าจะถาม คิดว่าทุกคนคงจะเดาได้คร่าวๆ อาจจะมีคำถามพิศดารหลุดมาบ้าง แต่ก็ถือว่าตอบไปขำๆ ละกัน ฮาๆ เป็นกันเองเท่านั้นค่ะ … บางคนก็ไม่ค่อยพูด แต่พอเจอสัมภาษณ์ก๊อกรั่วกันเลยทีเดียว พูดไม่หยุด อันนี้ก็ถือว่าเวิ่นเว้อเกินไป = =; … มันไม่มีเคล็ดลับอะไรตายตัว ก็ขอให้ทุกคนโชคดี !!

ปล.ใครที่ยื่นสมัครหลายที่ แล้วไปติดหลายที่ อย่าลืมไปขอโทษบริษัทที่ปฏิเสธไปด้วยตัวเองเน้อ จะได้ไม่เสียชื่อเสียง และทำให้รุ่นน้องรุ่นต่อๆ ไปต้องลำบากด้วย

(ถึงตรงนี้ ใครจะอ่านต่อก็…. ทำใจนิด เพราะ…. ยาวชะมัดเลยวุ้ย … (พิมพ์เองยังตกใจ) แต่ก็เป็นเรื่องราวการฝึกงานของเราน่ะนะ…)

จะขอพูดถึงทำงานในรูปแบบบริษัทละกันนะ เพราะเป็นประสบการณ์ตรงจากเราและเพื่อนๆ ที่มาเล่าแบ่งปันกัน เริ่มจากของข้าพเจ้าก่อนละกันนะ

ข้าน้อยได้ไปฝึกงานบริษัททำแอนิเมชั่นแห่งหนึ่ง (ถ้าอ่านย้อนหลังไป จะรู้ว่าเป็นที่ใด) แรกๆ ที่ไปฝึกงาน สถานที่แห่งนั้นล้วนแต่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจ ทุกอย่างแปลกใหม่ ผู้คนมากมาย ทำงานอยู่ในส่วนของตนอย่างขยันขันแข็ง ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ดีเยี่ยมเลยทีเดียว เพราะใช้ระบบสแกนนิ้วผ่านเข้าประตู และลงบันทึกเวลาเข้าออกทำงาน (= =; ซึ่งปัญหาคือแสกนไม่ติดก็มี ฮาๆๆ)  เปิดประตูทิ้งไว้นานๆ ก็ไม่ได้ เพราะระบบสัญญาณจะร้องดัง ขอบอกว่าดังมากๆ ตึกมีกี่ชั้นนี่ ได้ยินกันทั่วตึกเลยล่ะ… มาถึงก็มีพี่ฝ่ายบุคคลมารับเรากับเพื่อนขึ้นไปคุยตกลงเซ็นสัญญา (นี่ขนาดฝึกงานยังต้องเซ็น…) กฎก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ แต่โหดเอาเรื่องเลยล่ะ (เพราะเป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงน่ะนะ) เช่น ต้องมาทำงานตอน 9 โมง ถ้า 9 โมง 1 นาที ก็ถือว่าสาย “…..” สายเกิน 3 ครั้ง จะถือว่าฝึกไม่ผ่าน “….” ห้ามเอาโน๊ตบุ๊คมา แฟลชไดร์ฟถ้าจะเอามาต่อ ต้องติดต่อฝ่าย IT ก่อน หลังจากฝึกใกล้จบ จะต้องมีพรีเซ้นผลงานด้วย “…!!!” บลาบลา พี่เค้าก็พูดติดตลกว่า จะเปลี่ยนใจไม่ฝึกก็ได้นะ แต่คงไม่ทันแล้วล่ะก็เพราะเซ็นชื่อกันไปหมดแล้ว (ซะงั้นอ๊ะ!!!) แล้วพี่ฝ่ายบุคคลก็พาพวกเราไปแนะนำตัวทั่วบริษัทเลยล่ะ มีหลายฝ่ายหลายแผนกมาก ซึ่งคนก็เยอะมากด้วยเช่นกัน!! แล้วใครจะไปจำชื่อได้หมดล่ะเนี่ย!!! ไอเรายิ่งเป็นพวกความจำรั่วไหลเป็นก๊อกอยู่ด้วย….

หลังจากนั้นเรากับเพื่อนอีกสองคน และเพื่อนต่างมอ ที่มาจากม.กรุงเทพ ก็แยกย้ายกันไปประจำหน่วยของตนค่ะ ซึ่งในตอนแรกเราจะต้องไปทำฝ่าย BG ก็ได้นั่งคุยกับพี่ที่คุมอยู่นิดหน่อย พี่เค้าก็เป็นกันเอง แต่แอบเกร็งๆ อยู่ แต่พอคุยไปซักพัก ก็มีพี่คนที่เคยสัมภาษณ์มาทักว่า ทำไมไม่ไปอยู่ฝ่าย Design ล่ะ จริงๆ ต้องให้เราไปออกแบบคาแร็คเตอร์ (อ้าวซะงั้น!!) เพราะมีเพื่อนเราคนนึงไปทำฝ่าย Design สลับกับเรา พอคุยตกลงกัน พี่ๆ เค้าก็เลยว่าจะให้เราไปทำ Design ก่อนเดือนแรก แล้วเดือนหลังจึงจะไปทำฝ่าย BG … ตอนนั้นเราก็งงๆ แหละนะ แต่พี่เค้าว่าไงก็ว่าตามกัน ก็เลยไปนั่งฝ่าย Design ออกแบบคาแร็คเตอร์ … แต่เพื่อนเราที่ต้องสลับกันพี่เค้าขอให้อยู่ห้อง Design ช่วยไกด์สีตัวละครไปก่อน ก็เลยได้นั่งห้องเดียวกัน… ใครว่าการทำงานแบบนี้เป็นเรื่องง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ใช่เลยล่ะค่ะ เพราะการที่จะต้องมาปรับลายเส้นของตัวเองให้เข้ากับของบริษัทนี่ เป็นอะไรที่ยากมาก ไม่ว่าจะวาดไปเท่าไหร่… พี่เค้าก็ต้องเอาไปวาดต่อใหม่อีกทีเช่นเดิม… มันให้ความรู้สึกแบบว่า นี่เราวาดไปทำไมนะ… ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น เพื่อนที่ว่านี้ ดันเป็นเทพที่สุดของสายที่เราเรียนด้วยล่ะ!! ทั้งวาดรูปเก่ง ลงสีก็เก่ง ผลงานมีเยอะแยะ งามๆ ทั้งนั้น พอพี่ๆ เค้าขอดูผลงาน พอเห็นของเพื่อนเราก็ชมยกยอกันใหญ่เลยล่ะ ทำให้เรากลายเป็นหมาหัวเน่าของห้องนั้นไปโดยบัดดล… คงไม่มีใครอยากโดนเปรียบเทียบ ไม่มีใครอยากโดนเมิน … แต่นั่นแหละ โดนเราเต็มๆ เลยล่ะ … พอเราดีไซน์ตัวละครไปให้พี่เค้าเท่าไหร่ ก็เหมือนจะไม่ถูกใจซักที เลยเบื่อๆ ให้เพื่อนลองวาดมั่ง แล้วปรากฎว่าอะไรรู้มั้ย … ลายเส้นเพื่อนเราก็ไม่ใช่ลายเส้นบริษัทเลยล่ะ รายละเอียดก็ไม่ได้ตัดทอนสำหรับการ์ตูนเท่าไหร่ แต่พี่เค้ามาเห็น เค้าบอกว่า มันสวย มันเจ๋ง เอานี้แหละ!! เฮ้ย … ตรูข้าวาดไปตั้งกี่สิบรูป พยายามไปตั้งเท่าไหร่ … แต่พอเจอเทพรูปเดียว.. มันต่างกันขนาดนี้เลยหรอ… เพื่อนสนิทมันก็ปลอบใจว่า คนเราเวลาเห็นอะไรแล้วบูชา สายตาเค้าก็คงไม่มามองอะไรอย่างเราหรอก เฮ้อ นั่นสินะ แล้วก็สลดไป… เป็นอย่างนี้อยู่สัปดาห์นึงเลยล่ะค่ะ… ตอนเช้ามาด้วยอารมณ์แจ่มใส ตั้งใจทำงาน มาถึงก็หัดวาดคาแร็คเตอร์การบ้านที่พี่เค้าให้ไว้เลย… แต่พอเริ่มบ่ายๆ ก็จะเจอเหตุการณ์แบบข้างบน … กลับหอก็ด้วยอารมณ์สุดแสนจะเซ็งทุกครั้งเลยล่ะ แต่ก็ยังดีนะ ที่กลับมาก็นั่งเปิดเมะดูกินข้าวไป ทำให้ผ่อนคลายจากเรื่องเซ็งๆ นี้ได้บ้าง … เข้านอนแล้วก็ตื่นเช้าไปแบบสดใสทุกวัน แล้วก็วนลูปแบบเดิมอ่ะ ล่อไปอาทิตย์นึงเต็มๆ จนกระทั่ง…

จู่ๆ ก็มีพี่จากแผนกอื่น มาขอตัวตัวน้องฝึกงานไปคนนึง เพราะอีกแผนก กำลังขาดคน… พอถามว่าต้องไปทำงานประเภทอะไร พี่เค้าก็บอกว่าพวกอิลลัส คีย์อาร์ต บลาบลา พอได้ยินว่าต้องใช้ illust ทำ เพื่อนเทพของเราก็ขอถอนตัวทันใด… เพราะทำไม่เป็น… ซะงั้น = =; เค้าเทพเฉพาะงานเพ้นท์ กับพวกวาดตัวละคร… บางทีก็มาแอบคิดนะว่า เป็นเทพ แต่เทพได้แค่อย่างเดียว แล้วอย่างอื่นทำไม่ได้เนี่ย มันจะดีมั้ยนั่น…. บางทีเพื่อนเทพของเราก็ชอบพูดทำนองว่า ฝีมือตัวเองใช้ไม่ได้เลย อย่างนู้นอย่างนี้ … บางครั้งมันก็อดรนทนฟังไม่ไหวหรอกนะ เลยพูดตอกกลับไปประมาณว่า ถ้าอย่างเทพเรายังฝีมือใช้ไม่ได้ล่ะก็ เราคงได้ไปไถนาตั้งแต่ก่อนมาเรียนแล้ว (เล่าให้แม่ฟัง แม่ขำล่ะ =w=;)… (ถ้าเพื่อนเทพของเราเกิดมาอ่านเจอ ก็อย่าถือโทษโกรธกันเลยแล้วกันนะ เพราะนี่เป็นความรู้สึกจริงๆ ของเรา เพราะเราเองก็ไม่อยากให้ใครมาเปรียบเทียบ แล้วก็ไม่ชอบพวกโอ้อวดตนเท่าไหร่ มันข่มคนอื่นทางอ้อมรู้บ้างมั้ย…. แต่ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดีละนะ) … สุดท้าย ไอเราเลยต้องย้ายไปนั่งอีกแผนกนึง ซึ่งทำเกี่ยวกับพวก content (มีหลายคนถามว่ามันทำอะไรล่ะนั่น ถ้าคนเก่งภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องอธิบายมาก จะอธิบายให้ฟังง่ายๆ ละกันว่ามันเป็นงาน “จิปาถะ” อ่านต่อจะรู้เอง)

พอย้ายมาแผนกนี้ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยชิน แต่ก็ต้องปรับตัวล่ะค่ะ เพราะงานนี้มานั่งโชว์เดี่ยวอยู่กลางแผนกเลย แถมยังนั่งข้างๆ พี่คนที่สั่งงานด้วย เลยยิ่งเกร็งเป็นเท่าตัว คอม PC ไม่มีให้ใช้ เลยต้องใช้ Notebook ไปแทนก่อน ก็แอบช้าเอาเรื่องเหมือนกัน ลงโปรแกรมรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะค้างเอา ฮ่าๆๆ พี่ที่คุมนี้สั่งงานได้ตลอดเลยล่ะค่ะ ไม่ปล่อยให้เรามือว่างเลย ฮ่าๆ แต่ก็ดีอย่างนึงตรงที่ใช้คอมเป็นของตัวเอง แถมยังมีเน็ตให้เล่นด้วย (เน็ตคือประเด็นหลัก ฮ่าๆ) เลยพลอยได้พักผ่อนจากการงานเข้าเว็บดูนู่นดูนี่ อัพบล็อคบ้างอะไรบ้าง (ฝึกงานนะเนี่ย!!!) เพื่อนที่อยู่ห้องอื่นๆ ก็เลยพลอยอิจฉาเราตรงมีเน็ตให้เล่นเนี่ยแหละ ฮาๆๆ …. ได้ทำงานอะไรไปบ้างนั้น ก็เช่น ทำโปสเตอร์ ใบปลิว โฆษณาตัวละครของบริษัท ทำป้ายแสตนด์ รีทัชัรูป ทำของพรีเมี่ยมต่างๆ เช่น พวกกุญแจ สมุดโน๊ต กระเป๋าดินสอ ฯลฯ (ส่วนใหญ่ก็ทำในอิลลัส น่ะ แล้วก็ส่งต่อไปให้บริษัทที่รับจ้างทำ ไปผลิตต่อ) มาคิดๆ ดู มันก็ไม่ตรงกับสาย 2D ที่มาฝึกซะทีเดียวหรอกนะ ฮาๆๆๆ แต่ใจจริงแล้วเราชอบงานจิปาถะแบบนี้มากกว่าล่ะ!! มันไม่ซ้ำ ต้องใช้ไอเดีย ความคิด หัวศิลป์ การจัดวาง ได้ความรู้เกี่ยวกับศัพท์ใหม่ๆ ได้เทคนิคในการทำงาน เช่น บางทีการทำงานกราฟฟิกอิลลัสนี้ อะไรที่ลักไก่ได้ ให้ทำเลย จะมานั่งสร้างใหม่เองตลอด มันจะเสียเวลา.. หรือเวลาพี่เค้าสั่งงานอะไร ถ้าเราสงสัย ให้ถามไปเลย อย่ามัวแต่มานั่งมู่ทู่ทำไป เพราะทำเสร็จโดนแก้ มันก็ไม่คุ้มหรอก (อันนี้โดนไปเต็มๆ เลยค่ะ จนหลังๆ พอทำงานแล้วต้องมีการเลือก หรือตัดสินใจขึ้นมา เราจะเรียกพี่เค้ามาดูเลย ฮ่าๆๆ พี่เค้าก็ชมว่า แหมเดี๋ยวนี้รู้ัใจพี่นะเนี่ย) … อยากรู้อะไร อยากเรียนอะไร ให้ถามพี่เค้าได้เลย ไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้ รับรองว่าพี่เค้าสอนแน่ๆ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ พี่เค้าใจดีกันมากๆ) อะไรต่างๆ ก็เลยดีขึ้นมากค่ะ การไปทำงานทุกวันเลยไม่น่าเบื่ออีกต่อไป และก็ไม่มีอารมณ์เซ็งๆ ด้วย ชอบแบบนี้มากเลยล่ะค่ะ ^^ รู้สึกเหมือนตัวเองได้เป็นส่วนนึงของครอบครัวใหญ่ พี่ๆ ที่แผนก ก็มักจะมาขอให้ช่วยทำนู่นทำนี่ให้หน่อย ไอเราก็รับงานจนล้นมือจริงๆ แต่ก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนสำคัญของที่นี่ไงงั้นเลยล่ะ มีความสุขมาก ^^ แม้จะงานหนัก แต่พอค่อยๆ ทำ ค่อยเคลียร์ไปทีละชิ้น พอเสร็จไปซักชิ้น ก็จะรู้สึกเหมือนเคลียร์มิชชั่นนึงไปได้ ให้ความรู้สึกดีมากๆ เลยล่ะ (หรือเราจะโรคจิตนะ ? ฮาๆๆ) ตอนนี้แทบจะรู้จักชื่อพี่ๆ ทั้งบริษัทได้แล้วก็ว่าได้ค่ะ แต่เพื่อนเราอีกสองคนที่นั่งทำแต่งานแผนกตัวเอง ก็รู้จักคนไม่เยอะเท่าเราเท่าไหร่ (แอบภูมิใจ ฮ่าๆๆ) แถมยังได้ไปสนิทกับพวกพี่ๆ ห้อง 3D ด้วยล่ะ (เสล่อไปเองล่ะ ฮ่าๆๆ) มีพี่ที่เป็นแฟนกันคู่นึง พี่เค้าติดการ์ตูนเหมือนกัน เลยชอบเอาดีวีดีการ์ตูนมาให้เรายืมดู แล้วก็แลกการ์ตูนกัน คุยกันได้อย่างสบายๆ (สไตล์โอตาคุ!?) ส่วนแผนกไอที แรกๆ ก็ไม่ค่อยได้คุยกันค่ะ หลังๆ มานี้ พี่เค้าจะชอบเรียกไปดูเทคโนโลยีใหม่ๆ พอเราก็มีอะไรใหม่ๆ ให้พี่เค้าดูบ้าง ก็เลยได้คุยสนิทกันไปเลย อย่างรวดเร็วซะงั้น ฮาๆๆ … และก็มีพี่คนใหม่เข้ามาทำงานค่ะ ไอเราก็เด้งไปอยู่ซอยสอง (ละแวกโต๊ะน่ะ) ซึ่งเป็นฝ่ายบัญชี ก็เลยพอได้คุยกับพี่ที่นั่งข้างๆ แล้วก็สนิทกับพี่ๆ เค้าด้วยล่ะค่ะ ใจดีกันทุกคนเลย ^^ … ตอนนี้ทุกอย่างก็เลยไปได้สวยด้วยดีเลยล่ะ… จนแทบจะไม่อยากนึกถึงวันที่ต้องจากที่ไหนไป ตามกำหนดสัญญาฝึกงานเลยแฮะ…

ก็เอาเป็นว่าจบเรื่องฝึกงาน ส่วนแรกไว้เพียงเท่านี้ (เพราะยังฝึกไม่จบ ฮาๆๆ แต่มีเรื่องให้เล่าเยอะแยะมาก)

หวังว่าบทความ(?) นี้จะมีประโยชน์กับใครซักคนบ้างนะ ^^ ขอบคุณที่กรุณาอ่านค่ะ

Jay Chou!!

ในขณะที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังบ้าเกาหลีหรือญี่ปุ่น … ไอเราดันหันกลับมาบ้าเฮียเจโชว!!! … เพราะตั้งแต่สมัยม.ต้น เพื่อนคนนึงเคยเอาซีดีเพลงของเจโชวมาให้ … ช่วงนั้นฟังบ่อยมากๆ ชอบเพลงช้าๆ ของเฮียเค้ามาก แบบว่าเสียงเฮียเค้าเหมาะกับเพลงช้า หรือแนวเจ็บปวดมาก ฟังแล้วอินตามสุดๆ เลยล่ะ (หลงใหลเสียงเฮียตอนเศร้าหรือเจ็บปวด ว่างั้น S ชัดๆ ตรู ฮ่าๆๆ) … ตอนนี้ที่ไปฝึกงาน มีพี่คนนึงเปิดเพลงของเจโชว ก็เลยคุยกันว่าชอบฟังอย่างนู้นอย่างนี้ ฮาๆๆ พอย้ายแผนกไปนั่งอีกที่ มีเน็ตให้เล่น ก็เลยไม่พลาดที่จะโหลดเพลงของเฮียล่ะ!! ฟังแล้วก็ชอบมาก ชอบมากจริงๆ นะ เพลงช้าๆ ทุกเพลงเลยล่ะ จะชอบเป็นอย่างยิ่งถ้าเพลงนั้นมีเครื่องดนตรีจีนๆ มาผสมด้วย แหม อินได้ใจเลยล่ะ แนะนำให้ไปหาฟังกันทีเดียว รับรองว่าไม่มีผิดหวัง (ต้องคนที่ชอบเพลงช้าๆ ด้วยนะ ฮาๆ เพื่อนบางคนก็บอกว่าฟังแล้วจะหลับ = =; ) … วันนี้วันหยุดทั้งที ก็เลยไปค้นประวัติเฮียมาลงซะเลย เชิญทัศนาเลยจ้า!!

Jay Chou

ชื่อภาษาจีน : 周杰倫
ชื่อภาษาไทย : เจย์ โจว (โจว เจี๋ยหลุน)
ชื่อภาษาอังกฤษ : Jay Chou (Zhou Jie Lun)

ชื่อเล่น : Director Chou (周董)
ชื่อเล่นในวัยเด็ก : ล้อดำ (黑輪)
วันเกิด : 18 มกราคม พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979)
สถานที่เกิด : เมืองลิงเกา ไทเป ประเทศไต้หวัน
ภาษาพูด : ภาษาจีนกลาง และไต้หวัน
กรุ๊ปเลือด : O
ราศี (จีน) : ปีม้า
ราศี (สากล) : ปีมังกร
สูง : 173 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 60 กิโลกรัม (132 ปอนด์)
ขนาดรองเท้า : 10.5 นิ้ว
การศึกษาสูงสุด : จบการศึกษาจากโรงเรียนไทเปต่านเจียง ปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) สาขาดนตรี
ความสนใจพิเศษ : แต่งเพลง , เล่นบาสเก็ตบอล
สัตว์เลี้ยงตัวโปรด : สุนัข (อยู่กับคุณย่า)
นิสัย : เรียบง่าย เชื่อมั่นในความคิดตัวเอง ขี้อาย อ่อนไหวง่าย ใจอ่อน
นิสัยประหลาด : กลัวผี กลัวความสูง กลัวความมืด กลัวที่แคบ ไม่ชอบใส่ชุดชั้นใน ไม่ชอบนอนคนเดียว ใจร้อน โมโหง่าย
ความสามารถทางดนตรี : เปียโน , เชลโล่ , กีต้าร์ , กลองแจ๊ส
กีฬาโปรด : บาสเก็ตบอล , เล่นกระบองคู่
คำพูดติดปาก : diao bu diao (屌不屌)
คำคม : ถ้าไมมีดนตรี ยอมตายดีกว่า
อุดมคติ : ดนตรีเป็นภาษาสากล ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อให้คนทั่วโลกเข้าใจกันได้ ผมจะใช้ดนตรีท่องไปในโลกกว้าง และ ทำให้ทุกคนยอมรับดนตรีของผม
ครอบครัว : พ่อและแม่ (หย่าร้าง) เป็นลูกชายคนเดียว พ่อเป็น อ.สอนวิชาชีววิทยา (Biology) , แม่เป็น อ.สอนศิลปะ (Middle School fine arts)
เพื่อนในวงการ : Luo Zhi Xiang (เสี่ยวจู), หลิวเกิ่งหง
คนที่รู้สึกขอบคุณมากที่สุด : แจ็คกี้ วู
คนที่เคารพมากที่สุด : แม่ พ่อ คุณย่า
ความฝันในวัยเด็ก : อยากเป็น บรูซ ลี
รักครั้งแรก : เด็กผู้หญิงข้างห้อง สมัยเรียนมัธยมปลาย
ผู้หญิงในอุดมคติ : ผมยาว ขาว หน้ารูปไข่ สวยแบบคลาสสิค
คู่หูเขียนเพลงคนสำคัญ : Vincent Fang
การ์ตูนโปรด : โดราเอมอน
ภาพยนต์โปรด : หนังการ์ตูนทุกเรื่องที่เขียนโดย Miyazaki Hayao
แนวเพลงโปรด : R&B, แร๊พ, บัลลาด, ร็อค และป็อบ
สไตล์เสิ้อผ้า : สบายๆสไตล์ Hip-hop เช่น เสื้อยืด กางแกงขาสั้น
สีโปรด : สีฟ้า
อาหารโปรด : อาหารฝีมือคุณแม่, Kentucky Fried Chicken , ไก่ทอด , ทุกอย่างที่ทำจากไก่ โดยเฉพาะอาหารฮ่องกง Tai Ping Guan’s Swiss chicken wings และชอบดื่มน้ำหวานด้วย
แชมพูที่ใช้ : ไม่จำกัดยี่ห้อ แต่ชอบที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
นักดนตรีที่ชื่นชอบ : Frederick Chopin, Li Si Te, YO-YO Ma
นักแสดงที่ชื่นชอบ : หลี่ เหลียนเจี๋ย (เจ็ท ลี)
นักกีฬาบาสเก็ตบอลที่ชื่นชอบ : ไมเคิล จอร์แดน
ศิลปินที่ชื่นชอบ : Usher, Babyface
สถาที่ที่อยากไป : ฝรั่งเศส เพราะคิดว่าโรแมนติกมาก แต่ถ้าไปไม่ได้ก็อยากไปแค่เซียงไฮ้หรือปักกิ่ง
ข้อดี : แต่งและเขียนเพลงเอง
ข้อเสีย : เป็นคนขี้อายและจิตใจอ่อนไหว ขี้ใจน้อย
ความใฝ่ฝัน : ท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลก
สิ่งของที่ชอบ : หมวก,เสียงดนตรีที่แตกต่างกัน, ดนตรีของคนผิวดำ, เครื่องเงิน
ของสะสม : รองเท้ากีฬา, หมวก, จานโลหะ
งานอดิเรก : เขียนเพลง, ดูภาพยนต์, เล่นบาสเก็ตบอล, เล่นวีดีโอเกมส์
ประสบการณ์การทำงาน : ปี 1997 ที่ DW Italian resturant เป็นนักเปียโน
ก่อนออกอัลบั้ม : ครูสอนเปียโน, นักแต่งเพลงประกอบภาพยนต์
เพลงแรกที่แต่งขึ้น : เพลงที่แต่งสมัยมัธยมปลาย ชื่อเพลง “Everlasting”
เพลงแรกที่ร้อง : 三明三日 (”Three Nights, Three Days”) ในปี 1998 ในอัลบั้มของ อู๋จงเสี้ยน อัลบั้มเพลงภาษาฮกเกี้ยน เขียนเนื้อและแต่งทำนองเอง
อัลบั้มแรกของตัวเอง : “Jay” สังกัด BMG เดือนพฤศจิกายน ปี 2000
บริษัทสังกัด : Alfa Music
บริษัทผู้จัดจำหน่าย : Werner Music Thailand
สถานที่ติดต่อ : Alfa Music International, Inc. Re: Alfa Music Jay Fan Club No.149, 12F, Sec2., MinSheng E. Rd., Taipei, Taiwan, R.O.C.
Official Website : http://www.alfamusic.com.tw
Others Websites : http://www.jay-chou.net , http://www.multistars.com/ jaychoustudio , http://www.jay2u.com , kmooz.co.nr

Credit to : http://www.pingbook.com/dvd/view.php?id=16

มันช่างแหวกแนวยิ่งนัก =A=; ทั้งๆ ที่หลายคนกำลังไปบ้าเกาหลีญี่ปุ่นกันอยู่ แต่ไอเรากลับหันมาหลงใหลเพลงจีน … จริงๆ ก็เป็นพวกชอบเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้านพื้นเมืองอยู่แล้ว พอมาหวนนึกถึงเฮียเจโชวก็โป๊ะเชะเลย ไปลองหาฟังกันดูนะคะ ^^

นิสัยที่ทำให้อ้วน

เรา ลองมานั่งพิจารณาดูว่า ไอ้ไขมันที่เพิ่มพูนส่วนหนึ่งมาจากนิสัยของเรานี้เอง นิสัยที่กล่าวถึงเราลองมาสังเกตนิสัยการกินของเรากันเถอะ

1. กินข้าวเร็ว – การกินข้าวเร็วมาก แทบจะไม่เสียเวลาเคี้ยว กินแล้วกลืน คนอื่นยังกินอยู่ เราก็เรียบร้อยแล้วจานแรก ทำไงละคราวนี้ ก็ไปเบิ้ลจานสองสิ เขาว่ากินข้าวเร็วกระเพาะยัง ไม่ทันรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มเลย ดังนั้นค่อยๆกิน ไม่ได้จะรีบไปไหน จะให้ดี ก็ทานน้ำเยอะหน่อย จะได้อิ่มไวๆ

2. ดูโทรทัศน์ไป กินไป นี้ก็เป็นสาเหตุใหญ่อีก เวลาดูกีฬา ถ้าจะให้สนุกต้อง โค๊กกับเลย์ค่ะถึงจะเชียร์กีฬาสนุก แล้วเจ้า 2 ตัวนี้ ต่างก็แคลอรีสูงทั้งคู่เลย ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 500 แคลอรี นี้เฉพาะอาหารว่างนะค่ะ แล้วที่กินเป็นอาหารหลักละ ไปแล้วเท่าไร ไม่อ้วนให้มันรู้ไป ของพวกนี้ เรียกว่า กินแล้วไม่ค่อยคำนึง เพราะกินไปเรื่อยๆมาเรียงๆ หมด ก็ไปเอามากินอีก ลองเปลี่ยนใหม่ ได้ไหมว่า เชียร์กีฬาไป กินผลไม้ไป เป็นการเชียร์กีฬาเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง อ้อ ส่วนเครื่องดื่ม น้ำเปล่าค่ะ

3. เสียดายของ – ก็ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กค่ะว่า กินข้าวจะต้องกินให้หมดจานอย่าเหลือ ทิ้งไว้ สงสารชาวนาที่ปลูกข้าว เต็มไปด้วยความยากลำบากกว่าจะได้ข้าวมาเม็ดหนึ่งพอเรากิน แม้จะอิ่มแล้วแต่ก็ต้องกินให้หมด เฮ้อ บางทีนะดิฉันว่าลดความสงสารชาวนาลงหน่อย สงสารตัวเรา มากขึ้นพออิ่ม ก็คือ อิ่ม ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมขนาดต้องกินให้หมดบางทีเห็นน้องๆกินเหลือ ยังไปช่วยเหลือเอามากินอีกให้หมด ต้องมาเสียเงินสำหรับลดน้ำหนักมากกว่าอีก

4. เครียดแล้วกิน อันนี้ดิฉันว่าเป็นโรคจิตแบบหนึ่งเลยนะ ประเภทประมาณว่าประชด อะไร ไม่พอใจ เครียด ก็เอาอาหารเป็นที่ระบาย กินเอากินเอา อย่างอกหัก แทนที่จะกินข้าวไม่ลง ไม่เลย บอกตัวเองว่า กินเข้าไป กินเข้าไป กินมันให้ท้องแตกตายไปเลย สุดท้ายไม่ตายค่ะแต่มานั่งกลุ้มใจกับน้ำหนักที่เพิ่มพูนขึ้น

5. ให้รางวัลโดยการกิน – นี้ก็เป็นนิสัยหนึ่งที่ชอบนัก เวลาเราดีใจ หรือทำอะไรประสบความสำเร็จ ต้องมีการนัดฉลองกันหน่อย กินฉลองสอบได้ กินฉลองได้ลูกค้าใหม่ กินฉลองวันเกิด กินฉลองวันเข้าพรรษา กินฉลองมันได้ทุกวัน ลองเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลเป็นแบบของขวัญ หรือไปเที่ยว หรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องมาโยงกับการกิน ดีไหม

6. กินอาหารคาว ต้องตามด้วยของหวาน – ไม่รู้ทำไมต้องเป็นสูตรแบบนี้ เหมือนตอนอยู่โรงเรียนจำได้ว่า พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ จะต้องตามด้วยของหวาน พวกกล้วยบวดชี บวดฟักทอง ถั่วดำ และอีกสารพัด กินแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง ลองเปลี่ยนของหวานเป็นผลไม้ดีกว่า แอปเปิ้ล ฝรั่ง แตงโม และอีกเยอะแยะค่ะ

7. ต้องเอาให้คุ้ม – ไปกินบุปเฟ่ต์ กินเท่าไรก็ได้ อย่างนี้ต้องกินให้เยอะๆ เอาให้คุ้ม ตักพูนจาน กินจนหมด อิ่มแล้ว แต่ยังไม่คุ้ม ไปตักเอามากินอีก นี้ถ้าไม่เกรงใจ จะเอาใส่ถุงพลาสติกกลับบ้านอีกนะนี้นะ อย่างบุปเฟ่ต์ของร้านไดโดมอน ชอบเป็นชีวิตและจิตใจ กินเข้าไป กินเข้าไป พอหันกลับมา เอ๊ะทำไมจานเนื้อจะท่วมมิดเราแล้วนะนี้ พอๆ เลิกนิสัยแบบนี้เถอะ ไม่ต้องเอาให้คุ้มนักหรอก สงสารร้านเขาบ้าง
ไม่ใช่กินให้คุ้มแล้วแบบนี้ เป็นการกินให้ร้านเขาเจ๊งมากกว่า

8. ยอมแพ้อะไรง่ายๆ – คือ หลายครั้งที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก พอมันไม่ค่อยลด ก็ท้อใจ หันกลับไปกินมากเหมือนเดิม แถมยังยอมรับอย่างน่าสลดว่า ความอ้วนยังไงก็ต้องอยู่ติดตัวคู่กับเราไปทั้งชีวิตแน่ๆ อย่าค่ะ อย่าไปเชื่อยังงั้นสิ สู้ๆเข้าไป สู้เข้าไป มันลดได้สิ ยอมแพ้วันนี้ก็ต้องแพ้ มันไปตลอดกาล แต่หากสู้ เราก็ยังมีหวังเอาชนะได้ค่ะ

9. ออกกำลังกายแล้วกินเยอะขึ้น – เป็นกันหลายคนจริงไหม คิดแต่ว่า เวลาออกกำลังกาย เราก็ใช้พลังงานไปเยอะแล้วนะ ให้รางวัลหน่อย กินเยอะขึ้นกว่าเดิม อ้วนค่ะ ที่ออกไปคืนมาหมด เรียกว่าเป็นพวกออกสลึง กินบาท น่าเสียดายจริงๆ หลายคนคิดว่า เอ๊ะ การออกกำลังกายทำให้ กินเยอะขึ้นหรือเปล่า ตอบเลยว่า ไม่จริงค่ะ ที่กินเยอะ เป็นเรื่องของจิตใจเรามากกว่า ยกตัวอย่าง หากออกกำลังกายโดยการวิ่ง 1 ชั่วโมง อย่างมากก็ประมาณ 600 แคลอรี จำนวนเท่านี้ หากกินเลย์กับโค๊ก มันก็เกิน 600 แคลอรีแล้วละค่ะ

Credits : http://blog.eduzones.com/racchidlom/43761

แฟนที่ไม่ควรจะรัก

ความ รักนั้นถือเป็นสิ่งที่สวยงาม ความรักทำให้โลกของเรานี้สวยงามน่าอยนู่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ดียังคงมีคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์


ซึ่ง ความทุกข์ที่เกิดจากรักนั้น อาจจะมีหลายสาเหตุด้วยบ้างก็เป็นเพราะความไม่เข้าใจกันระหว่างคนสองคน บ้างก็เกิดจากความที่ฝ่ายหนึ่งรักมาก แต่ฝ่ายหนึ่งเฉย ๆ และก็มีบางส่วนที่เลือกคนที่ไม่คู่ควรก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหา เกิดความทุข์ใจได้เช่นกัน


แล้วทราบหรือไม่ว่าแฟนแบบไหนที่เราไม่ควรจะรัก …

แฟนประเภทชอบรื้อฟื้น ชอบพูดแต่เรื่องเก่า ๆ สมัยที่ผ่านมานาน

และชอบพูดถึงแฟนเก่าว่าดีอย่างโน่นอย่างนี้ พร้อมจับทั้งแฟนใหม่กับแฟนเก่ามาเปรียบเทียบกัน ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้แฟนใหม่หมดกำลังใจไปเรื่อย ๆ

แฟนชอบโกหกจนเป็นนิสัย การโกหก เป็นยาพิษที่บ่อนทำลายความรักได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด

แฟนเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า

เผลอหน่อยไม่ได้ต้องเอาตัวเข้าไปเบียดกับคนอื่น และอ้างเหตุผลเดิม ๆ ว่า เด็กเขายั่ว อย่างนี้เราก็อย่าลดตัวไปเป็นมารคอหอยเขาเลยแล้วกัน

แฟนที่ไม่สนว่า..จำเป็นต้องเอาใจคนรักอะไร..กันนักหนา

หากรักกันจริงก็ควรดูแลเอาใจใส่ไม่ใช่คิดว่าไม่เห็นจำเป็นต้องเหลียวแล ความรักคือการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน

แฟนไม่เคยมีเวลาให้รวมถึงการผิดนัด บอกปัด อ้างงานเยอะ แม้แต่วันหยุดก็ไม่รู้หายไปไหน อย่างนี้จะเป็นแฟนกันไปทำไม

แฟนไม่เคยทำตามสัญญา

อย่าสัญญาเพียงลมปากอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เป็นจริงด้วย

แฟนที่ชอบตอกย้ำซ้ำเติมปมด้อยให้น้อยเนื้อต่ำใจได้ตลอดเวลา

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเราไม่ถนัดเรื่องไหนแทนที่จะให้กำลังใจ กลับคอยแต่พูดตอกย้ำให้เรายิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ หรือคอยเปรียบเทียบเรากับคนนั้นคนนี้แล้วก็พูดแต่ข้อด้อยของเรา แบบนี้เลิกเถอะ มีเราจะมีแฟนนะ ไม่ได้อยากมี Commentater ส่วนตัว

ถ้า คุณอยากมีความสุขมากกว่ามีทุกข์เมื่อมีความรักแล้วล่ะก็ เวลามองหาคนรู้ใจก็อย่าลืมพิจารณาลักษณะของแฟนที่ไม่น่าคบหาข้างต้นด้วยนะ จ๊ะ

Credits : http://blog.eduzones.com/azakikung/17213